"อุ๊-หฤทัย" พ่อแม่แยกทาง อายุ 14 ดิ้นรนสู้ชีวิต "เรียนไม่จบ-ไม่มีจะกิน" ศิลปินสุดโต่ง ล่าสุดท้าดีเบตนักการเมืองชื่อดัง!

คอมเมนต์:

"อุ๊-หฤทัย" พ่อแม่แยกทาง อายุ 14 ดิ้นรนสู้ชีวิต "เรียนไม่จบ-ไม่มีจะกิน" ศิลปินสุดโต่ง ล่าสุดท้าดีเบตนักการเมืองชื่อดัง!

        ในยุคที่การแสดงความคิดเห็นยังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อสังคม การคิดเหมือนหรือคิดต่างไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าใครถูกหรือผิดได้ แต่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ว่ากันอีกเรื่อง…ผู้หญิงอย่าง อุ๊-หฤทัย ม่วงบุญศรี เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้วในฐานะนักร้องเสียงคุณภาพ เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกชัดเจนตรงไปตรงมา จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายเรื่องที่เธอออกมาพูดต่อสาธารณชน ก็ย่อมจะมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ไปจนถึงรักและเกลียดเลยก็ว่าได้

        อ่านข่าวเพิ่มเติม : เปิดใจ "อุ๊ หฤทัย" สอนมวย ประชาธิปไตยหลอกเด็ก ท้าชน "ปิยบุตร" ลั่นอย่าหดหัว เดี๋ยวก็รู้ใครจะติดคุก

 

Sponsored Ad

 

        หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ อุ๊-หฤทัย ได้เริ่มเข้ามาทำงานวงการบันเทิง ในฐานะศิลปินของค่ายยักษ์ใหญ่ นี่ก็เป็นเวลาเกือบ 14 ปีแล้ว ที่การสัมภาษณ์นี้ได้ถูกบันทึกเอาไว้ ถึงชีวิตที่เธอต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ชีวิตของ อุ๊-หฤทัย เติบโตในครอบครัวใหญ่ ที่มีสมาชิกครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาและถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี จนกระทั่งในวันที่พ่อกับแม่แยกทางกัน วิกฤติต่างๆ ก็เริ่มเข้ามา และกลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เธอต้องฝ่าฟันจนมีทุกวันนี้

ดิ้นรนตั้งแต่อายุ 14

 

Sponsored Ad

 

        “ช่วงที่อายุได้ 14 คุณพ่อคุณแม่หย่ากัน อุ๊ต้องไปอยู่โรงเรียนประจำ จนกระทั่งสอบเข้าช่างศิลป์ได้ ช่วงนั้นรู้สึกตัวเองมีอิสระหลุดจากปัญหาครอบครัวสิ้นเชิง แต่ในช่วงเรียนเทอมต้น คุณแม่ถูกโกงที่ดิน จนเกิดการฟ้องร้องกัน กว่าศาลจะไตร่สวนเสร็จก็นานหลายปี คุณแม่ก็ค่อยๆ ยากจนลง รายได้ก็เริ่มไม่พอส่งเสียอุ๊กับน้องชาย อุ๊เองเรียนช่างศิลป์ก็ต้องใช้เงินอย่างประหยัดที่สุด”

ไม่มีข้าวกิน จนต้องสวมรอยเป็นแขกในงานแต่งงานคนอื่น

 

Sponsored Ad

 

        “ในช่วงที่อุ๊เรียนอยู่ช่างศิลป์ ใช้ชีวิตอยู่หอกับเพื่อนๆ แต่ละคนเป็นลูกคนจนล้วนๆ ลูกชาวนาบ้าง เด็กวัดบ้าง มีอยู่วันหนึ่งที่หอไม่มีข้าวกิน อุ๊มองไปนอกชาน เห็นบ้านหลังหนึ่งกำลังมีงาน จึงชวนเพื่อน ในเมื่อเราไม่มีข้าวกิน ไปร่วมงาน เดี๋ยวก็ได้กินนะ ว่าแล้วอุ๊ก็เดินตัดทุ่งนำเพื่อนไปนั่งโต๊ะอย่างดี กินกันเอร็ดอร่อยโดยเจ้าบ่าวคิดว่าเราเป็นเพื่อนเจ้าสาว ส่วนเจ้าสาวก็คิดว่าเราเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

จุดเปลี่ยนจากเด็กช่างศิลป์เป็นศิลปินนักร้อง

 

Sponsored Ad

 

        “อุ๊มีความใฝ่ฝันว่าอยากเรียนคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ จบแล้วก็อยากเป็นอาจารย์ หรือเป็นศิลปินเขียนรูป จนกระทั่งช่วงปิดเทอมน้าสาวเห็นอุ๊พอร้องเพลงได้ เลยพาไปร้องที่ผับแห่งหนึ่ง  พอผ่านไปเดือนหนึ่งก็เริ่มรู้ว่าตัวเองมีความสุขกับตรงนี้ เลยบอกแม่ว่าไม่เรียนแล้ว อยากร้องเพลงเป็นอาชีพมากกว่า อุ๊ทำงานหาเงินจากอาชีพนักร้องตามผับมาตลอด ได้เท่าไหร่ก็ให้แม่และน้องชาย จนอายุ 20-21 อุ๊กับแม่รวบรวมสตางค์ซื้อที่ดินปลูกบ้านของตัวเอง และช่วงอายุ 22 ก็ได้เจอพี่ป้อม อัสนีย์ โชติกุล มาทาบทามให้ไปเป็นนักร้อง เราทำเพลงกันอยู่ 9 เดือน ออกเป็นอัลบั้มในนามวงเปเปอร์แจม พอจบอัลบั้มนี้ก็กลับไปร้องเพลงกลางคืนอีกครั้ง กระทั่งพี่นิ่ม-สีฟ้าเรียกตัวกลับมาทำเทปเป็นศิลปินเดี่ยว

 

Sponsored Ad

 

ชีวิตนี้เพื่อครอบครัว

        “เงินก้อนแรกจากการทำเทป อุ๊เอาไปให้แม่ใช้ต่อเติมและตกแต่งบ้าน จริงๆก็ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนมากอุ๊ตัดแบ่งให้แม่ประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ อุ๊คิดว่าให้แม่เยอะเท่าไหร่ จะรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ในเมื่อท้องเราอิ่มแล้ว ได้ทำงานที่ดี มีเจ้านายที่ดี มีคนยอมรับ มีที่ซุกหัวนอน แต่นั่นเป็นสิ่งที่อุ๊ได้รับคนเดียว เพราะฉะนั้นอุ๊อยากแบ่งความสุขตรงนี้ให้แม่และน้องชายด้วย ลำพังตัวเองไม่ได้มีอะไรที่ต้องใช้มากมายในชีวิต ไม่คิดว่าจะต้องใช้ชีวิตเริ่ดหรู”

.

.

ข้อมูลและภาพ จาก นิตยสาร แพรว ปีที่ 25 ฉบับที่ 585 (10 ม.ค. 47)

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ