"ทิ้งชีวิตเมืองกรุง" ขึ้นดอยสอนหนังสือ! พูดชัดจะสอนต่อไปจนกว่าจะไม่มีแรง แม้ลำบากก็จะอดทน!

คอมเมนต์:

"ทิ้งชีวิตเมืองกรุง" ขึ้นดอยสอนหนังสือ! พูดชัดจะสอนต่อไปจนกว่าจะไม่มีแรง แม้ลำบากก็จะอดทน!

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

        เมื่อพูดถึงการเข้าไปเป็นครูสอนเด็กในโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล แน่นอนว่าต้องเผชิญกับความลำบาก ทั้งการเดินทาง การใช้ชีวิต และภาษา เช่นเดียวกับครูคนหนึ่งที่เมื่อ 38 ปีที่ผ่านมาได้ขอไปเป็นครูอาสาบนดอยอ่างขาง จ.เชียงใหม่

        หากย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ดอยอ่างขาง ในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ คือพื้นที่บนยอดเขาสูงเสียดฟ้า ดินแดนอันแสนห่างไกลที่ห้อมล้อมด้วยเมฆหมอก ผืนป่า และไร่ฝิ่น ไร้ซึ่งความสุขสบายทุกประการสำหรับการใช้ชีวิต

 

Sponsored Ad

 

        แต่สำหรับ ครูเรียม สิงห์ทร ครูโรงเรียนบ้านขอบด้งบนดอยอ่างขาง กลับยอมละทิ้งชีวิตในเมืองกรุงเพื่ออุทิศทุกลมหายใจให้กับการสอนหนังสือเด็กชาวไทยภูเขามานานกว่า 30 ปี ด้วยความรักและศรัทธาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านเคยรับสั่งให้ครูช่วยดูแลเด็กชาวเขาเหล่านี้…

 

Sponsored Ad

 

ชีวิต (ครู) บนดอยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ 

        พื้นเพของครูเรียมนั้นเป็นคนแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเติบใหญ่ก็ได้มีโอกาสเข้ามาเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยครูสวนสุนันทา และไม่นานนักจุดเปลี่ยนในชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก็เกิดขึ้น

        “มีอยู่วันหนึ่งครูมาเที่ยวดอยอ่างขาง บังเอิญไปเห็นโรงเรียนเล็ก ๆ อยู่ในโครงการหลวงเพื่อไว้สอนลูกคนงานก็เกิดความชอบและประทับใจ กลับมากรุงเทพฯปุ๊บก็เลยรีบเขียนจดหมายขอสมัครเป็นครูที่นี่”

 

Sponsored Ad

 

        ผ่านไปประมาณหนึ่งปี ครูเรียมก็ได้รับโทรเลขด่วนให้มารายงานตัวที่ดอยอ่างขาง และนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้วที่ครูดอยคนนี้ไม่ได้กลับมาใช้ชีวิตที่เมืองกรุงอีกเลย กระนั้นใช่ว่าชีวิตของเธอจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อช่วงแรกโรงเรียนบ้านขอบด้งที่เธอใฝ่ฝันกลับไม่มีนักเรียนมาเรียนแม้สักคนเดียว

 

Sponsored Ad

 

        “วันแรก ๆ มีโรงเรียน แต่ไม่มีนักเรียน เพราะชาวเขาเผ่ามูเซอดำไม่เข้าใจว่าการเรียนมีความสำคัญอย่างไร เด็ก ๆ ที่ควรจะมาเรียนก็ไปช่วยพ่อแม่ทำไร่กันหมด จนผ่านไปสองอาทิตย์ ด้วยสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งไฟไม่มี เข้าห้องน้ำก็ลำบาก มีแต่ดอกฝิ่นและอันตรายรอบตัว เลยรู้สึกท้อใจ คิดอยากจะกลับบ้าน”

ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยหัวใจรักพ่อหลวง

 

Sponsored Ad

 

        เมื่อความทุกข์ท้อใจเข้าครอบงำ เวลานั้นครูเรียมจึงมองหาสิ่งยึดเหนี่ยว “งานนี้ตัดสินใจเลือกเอง ทำอย่างไรถึงจะอยู่ได้ และเรายังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเลย” เธอคิดพลางหันมองรอบ ๆ ห้องเรียน พลันสายตาก็เหลือบมองไปที่กระดานดำ และเหนือกระดานดำนั้นก็เจอรูปเก่า ๆ รูปหนึ่ง เป็นรูปที่ทำให้ครูเรียมยังอยู่ ณ โรงเรียนบ้านขอบด้งจนถึงทุกวันนี้…

        “ครูเห็นรูปพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ในเครื่องแบบทหารอยู่ในกรอบเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงพระองค์ท่าน ความท้อแท้ก็เปลี่ยนเป็นกำลังใจคิดว่าขนาดพระองค์ทรงอยู่ตั้งไกลยังเสด็จฯมาสร้างโครงการให้มีโรงเรียน ครูอยู่ตรงนี้ไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อไม่มีอะไรยึด เลยยึดพระองค์ท่านเป็นพลังที่จะอยู่สู้ต่อ”

 

Sponsored Ad

 

        เมื่อเกิดแรงบันดาลใจให้เลิกล้มความตั้งใจที่จะกลับบ้าน ครูเรียมจึงพยายามทำทุกวิถีทางให้เด็กหันมาเรียนหนังสือ รวมทั้งอธิบายให้ผู้ปกครองของเด็กเข้าใจและเห็นความสำคัญของการศึกษา

        “เมื่อไม่มีนักเรียนมา เราก็เข้าไปหานักเรียนครูเก็บดินสอสี อุปกรณ์การเรียนการสอนใส่กระเป๋าย่าม เอาขนมใส่กระเป๋าเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ไปถึงก็เอาอุปกรณ์การเรียนการสอนออกมา บอกกับเด็กว่า เธออยากทำอะไรก็ทำที่นี่เป็นห้องเรียนธรรมชาติ ครูเข้าไปที่บ้านของเด็ก นอนอยู่กับเด็ก คุยกับผู้ปกครอง บอกว่าการเรียนเป็นสิ่งสำคัญ เธออยู่ชายขอบ เธอเป็นคนไทย ต้องเรียนรู้ภาษาไทยครูจะทำให้เธอรู้จักสถานที่ต่าง ๆ”

Sponsored Ad

        ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงของครูเรียม ไม่นานนักโรงเรียนบนดอยที่เคยไร้นักเรียน จึงกลายเป็นโรงเรียนบ้านขอบด้งของเหล่านักเรียนชาวเขามูเซอดำที่เปิดสอนอย่างเต็มระบบ มีการสอนอาชีพโดยส่งเสริมโครงการหลวง ปลูกผักให้เด็กกินเป็นอาหารกลางวัน รวมถึงปลูกดอกคาร์เนชั่นเพื่อขายเป็นรายได้ให้แก่เด็ก ๆ

พระราชดำรัสยังคงดังก้องในจิตใจ

        ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมราษฎร ณ บ้านขอบด้ง ครูเรียมมีโอกาสได้เฝ้าฯรับเสด็จในครั้งนั้นด้วย และระหว่างที่ทอดพระเนตรแปลงต้นคาร์เนชั่น ครูเรียมก็ได้ยินพระองค์ตรัสว่า

        “ฉันฝากเด็กชาวเขาเหล่านี้ด้วย ตัวฉันอยู่ไกล ครูดูแลด้วยนะ” พร้อมกับพระราชทานเงิน 3,000 บาทเป็นค่าโรงเรือน

        จากวันนั้นแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่พระราชดำรัสยังคงดังก้องในหัวใจของเธอเสมอ

        “การมีพระองค์ท่านประทับอยู่ตรงหน้าเป็นอะไรที่ไม่คาดคิด ความภาคภูมิใจความประทับใจยังคงติดอยู่ในความรู้สึกเสมอมา

        “ครูถือว่าการเป็นครูสอนหนังสือเหมือนกับเราได้สร้างคน สร้างชีวิตมนุษย์ ครูมีพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างทั้งเรื่องการให้ ความมีเมตตา ความเสียสละ และการให้อภัย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งสำคัญในการทำงานที่ครูยึดถือมาตลอด ทำให้ครูมีความอดทนในการปฏิบัติหน้าที่และทำให้ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้”

        ครูเรียมเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือต่อว่า เธอตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่าจะอยู่บนดอยจนเกษียณ จะทำงานบนพื้นที่นี้ไปตลอดชีวิต อยู่เพื่อบอกกล่าวกับคนทั่วไปให้รู้ว่าพระองค์ท่านทรงทำอะไรให้ที่นี่บ้าง และขณะนี้เธอกำลังทำพิพิธภัณฑ์เรื่องราวชุมชนบ้านขอบด้งกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย ผู้ทรงอยู่ในหัวใจคนบ้านขอบด้งเสมอมา

ชมคลิป

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก <<<

เกาะติดข่าวสารและบทความเพิ่มเติมได้ที่ honghongworld

ข้อมูล จาก คอลัมน์ตามรอยพ่อหลวง นิตยสารชีวจิต ฉบับ 443 (16 มีนาคม 2560)

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ