คาถาชีวิตของผู้หญิงล่ำซำที่สุดของเมืองไทย "ถ้าไม่นิ่ง...เป็นอะไรก็ไม่ได้"

คอมเมนต์:

คาถาชีวิตของผู้หญิงล่ำซำที่สุดของเมืองไทย "ถ้าไม่นิ่ง...เป็นอะไรก็ไม่ได้"

    ย้อนบทสัมภาษณ์จากไทยรัฐออนไลน์ที่เผยแพร่ 27 พ.ค. 2555 ของผู้หญิงล่ำซำที่สุดของเมืองไทย เรื่องราวการบริหารกิจการหลังจากที่สามีของเธอจากไป การที่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งจะผงาดขึ้นมาเป็นผู้หญิงรวยที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของเมืองไทย คงต้องมีทั้งกึ๋นและมากด้วยวาสนา นอกจากชื่อเสียงของ “สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ” จะขจรขจายไปทั่วแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์กับบทบาทเจ้าแม่ไทยซัมมิท กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์แห่งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งสร้างรายได้เข้าประเทศปีละหลายแสนล้านบาท  หญิงเหล็กผู้นี้ยังเป็นที่จับตามองในฐานะว่าที่เจ้าแม่สื่อคนใหม่ของวงการมีเดียไทยก่อนจะขึ้นหิ้งเป็นผู้หญิงรวยที่สุดในเมืองไทย ต้องสู้ยิบตาขนาดไหน

 

Sponsored Ad

 

    เรื่องนี้ต้องยกเครดิตให้สามี คือ “คุณพัฒนา” ถ้าไม่มีเขาก็คงไม่มี “ไทยซัมมิท กรุ๊ป” เช่นทุกวันนี้ “คุณพัฒนา” เรียนหนังสือไม่สูง เพราะต้องช่วยพ่อแม่ขายก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่ 8-9 ขวบ ตอนหลังพี่ชาย (สรรเสริญ จุฬางกูร) ชวนมาช่วยงานที่ร้านซ่อมเบาะ ซึ่งเปิดร่วมกับเพื่อน ชื่อว่า สามอิ้ว แปลว่า สามมิตร ช่วงแรกกิจการไม่ค่อยดี เพื่อนๆจึงถอนตัวไปหมด และเหลือแต่คู่พี่น้อง “คุณพัฒนา” เป็นคนขยันและไอเดียดีมาก จะไปเฝ้าร้านตั้งแต่เช้า จนวันหนึ่งโอกาสมาถึง เมื่อเจ้าหน้าที่ของยามาฮ่าเอาเบาะรถมาถามว่า ทำแบบนี้ได้ไหม “คุณพัฒนา” รีบรับเรื่องไว้ แล้วไปควานหาซื้ออะไหล่มาทำเองทุกอย่าง ปรากฏว่าผลงานเป็นที่พอใจ หลัง จากนั้น ทางยามาฮ่าก็ป้อนงานเรื่อยๆ แถมยังได้งานจากฮอนด้า, ซูซูกิ และคาวาซากิ พองานเข้าเยอะขึ้น จึงขยับขยายไปแถวสาธุประดิษฐ์ เริ่มสร้างโรงงานและเปลี่ยนชื่อให้อินเตอร์ขึ้นเป็น “ซัมมิท โอโตซีท อินดัสตรี จำกัด” ในปี 2515 แรกๆรับทำแต่เบาะรถ ธุรกิจกำลังขยายตัว “คุณพัฒนา” คิดไกลว่า ถ้าเราทำแต่เบาะเกิดไม่มีงานหรือมีคู่แข่งคงแย่ เขาเลยของานทำชิ้นส่วนรถจากญี่ปุ่นด้วย ทำไปทำมางานผลิตชิ้นส่วนรถโตเร็วมาก “คุณพัฒนา” จึงแยกตัวมาตั้งโรงงานเอง โดยซื้อที่ดินบนถนนบางนา-ตราด กม.16 และเปิดบริษัทใหม่ชื่อ “ไทยซัมมิทโอโตพาร์ท อินดัสตรี จำกัด” ในปี 2520 รับผลิตเฉพาะชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์  ต่อมาก็ซื้อที่ดินรอบข้างขยายไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรงงานของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท กรุ๊ป ปัจจุบัน

 

Sponsored Ad

 

“คุณสมพร” เข้ามาช่วยบุกเบิกธุรกิจตั้งแต่ต้นหรือเปล่า

    ฉันแต่งงานกับ “คุณพัฒนา” ในปี 2519 ก็ช่วยสามีทำงานตั้งแต่วันแรก จำได้ว่า วันๆฉันต้องหิ้วลูกสาวใส่ตะกร้าไปทำงานในโรงงาน สมัยก่อนงานหนักกว่านี้เยอะ เดี๋ยวนี้เป็นระบบแล้ว ตอนนั้นต้องทำเองทุกขั้นตอน จะจ้างใครก็ไม่มีตังค์ เราเริ่มจากคนงานแค่สิบกว่าคน จนทุกวันนี้มีคนงาน 2 หมื่นกว่าคนแล้ว  และมีบริษัทในเครือ 32 แห่ง
กุญแจสำคัญที่ทำให้ “ไทยซัมมิท กรุ๊ป” เป็นเจ้าอุตสาห-กรรมชิ้นส่วนยานยนต์เอเชีย?

    “คุณพัฒนา” ย้ำเสมอตั้งแต่มีชีวิตว่า ต้องซื่อสัตย์มาก่อนจึงจะอยู่ได้นาน!! ถ้าทำการค้าแล้วไม่ซื่อสัตย์ มันก็เหมือนน้ำวน ยิ่งลึกๆ สุดท้ายคือจมแล้วตาย!! ความซื่อสัตย์ใช้ได้ทุกระดับ ในบ้าน...ถ้าคุณซื่อสัตย์ สามีก็รัก ครอบครัวอบอุ่น ในสังคม...เราให้ความซื่อสัตย์กับตัวเอง ไปไหนก็มีคนเชื่อถือ กับธนาคาร...ถ้าคุณทำตัวเลขหลอก สุดท้ายก็ไม่มีใครเชื่อถือ เรื่องการเงินถือเป็นเครดิตที่จะค้ำจุนให้เราแข็งแรง

 

Sponsored Ad

 

ตอน “คุณพัฒนา” เสียชีวิต ประคองธุรกิจอย่างไรไม่ให้ซวนเซ

    เขาเสียเมื่อปี 2545 ตอนอายุ 56 ปี ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นปี เขาเป็นคนแข็งแรง ขยัน และอดทนมาก ขณะป่วยหนักก็ยังทำงานจนถึงวินาทีสุดท้าย วันสุดท้ายของชีวิตเขา ฉันได้ให้สัญญากับเขา 3 ข้อ คือ ป่าป๊าไม่ต้องห่วงอะไร สิ่งต่างๆที่สร้างไว้ และอุดมการณ์ของป่าป๊า ม้าจะสานต่อและรักษาไว้, ม้าจะดูแลลูกๆทั้ง 5 คน จนเป็นฝั่งเป็นฝา และม้าจะรักป่าป๊าคนเดียวเท่านั้น!! พอจัดพิธีศพเรียบร้อย ฉันก็นัดประธานทุกบริษัท นำเสนอให้ฟังว่า ทีมบริหารที่จะเข้ามาทำงานแทนเป็นลูกชายคนโตชื่อ “ธนาธร” จากนั้น ก็โทร.นัดนายแบงก์เพื่อเช็กความมั่นใจ โดยขอกู้เงิน 4 พันล้านบาท ทุกรายบอกว่า “คุณสมพร” จะเอาเท่าไหร่ก็ได้  เพราะปกติ “คุณพัฒนา” ก็ยกให้ดูแลการเงินอยู่แล้ว และเพื่อให้ลูกค้าญี่ปุ่นมั่นใจ ฉันตัดสินใจสร้างสนามกอล์ฟ “พัฒนากอล์ฟ แอนด์ สปอร์ท รีสอร์ท” ที่ศรีราชา ใช้เงินสดทั้งหมด แล้วจดทะเบียนในชื่อลูกทั้ง 5 คน สื่อให้รู้ว่าถึงวันนี้ “คุณพัฒนา” ไม่อยู่ ฉันก็พร้อมลงทุนเพื่อลูกค้า เรียกว่าปีแรกเรตติ้งผ่านหมด  แต่ก็เหนื่อยสาหัสมาก กระทั่งลูกๆเข้ามาช่วย

 

Sponsored Ad

 

ตั้งใจจะวางมือให้ลูกๆ สืบทอดกิจการเมื่อไหร่

    ปีนี้ฉันอายุ 62 ปี งานบริหารประจำวันไม่ได้ดูแล้ว ดูแต่นโยบายและภาพรวม ฉันยังไม่แก่เท่าไหร่ แต่คิดเสมอว่า ถ้าไม่ลดบทบาทตัวเอง ลูกๆก็ขึ้นไม่ได้ เราอยู่ข้างหลังคอยสนับสนุนตอนที่ยังมีเรี่ยวแรง  ถึงวันนี้ลูกๆทุกคนก็โตพอจะช่วยดูแลกิจการ ฉันแบ่งงานไว้คร่าวๆแล้ว ลูกชายคนโตดูเรื่องขยายธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งเป็นไอเดียของเขาตั้งแต่แรก ล่าสุด เพิ่งไปเทกโอเวอร์ “โอกิฮาร่า กรุ๊ป” ซึ่งเคยเป็นกลุ่มธุรกิจรับออกแบบและสร้างแม่พิมพ์ยานยนต์ใหญ่ที่สุดของโลก ผนวกกิจการทั้งหมดใน 6 ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและอเมริกา สำหรับลูกสาวคนโตคุมการเงินทั้งหมด  ลูกสาวคนกลางเตรียมบุกเบิกธุรกิจด้านสื่อครบวงจร ส่วนลูกชายคนที่ 4 จับงานด้านอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่ลูกชายคนสุดท้องกำลังเรียนอยู่ที่อังกฤษ
เป็นหญิงเหล็กบริหารธุรกิจหลายแสนล้าน เคยเจอมรสุมใหญ่ๆไหม

 

Sponsored Ad

 

    เจอมาแล้วสารพัดรูปแบบ ผ่านมาแล้วทุกวิกฤติ ทั้งวิกฤติค่าเงินบาท วิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และพนักงานสไตรก์ ปิดถนนบางนา-ตราด รวมทั้งเจอคนที่ไม่มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ เช่น คนมาชวนไปซื้อหุ้นกลุ่มเดอะเนชั่น จนต้องขาดทุนไป 250 ล้านบาท

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับนิตยสาร Who? ถึงขั้นต้องตั้งค่าหัว 30 ล้านบาท
    ทำหนังสือเล่มนี้กว่าจะเข้าที่เข้าทางต้องใช้เวลาถึง 5 ปี ล่าสุด ก็เพิ่งเปลี่ยน บก.บห. เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น เขาผลาญเงินฉันไป 60 กว่าล้านบาท ฉันไม่ว่าสักคำ ได้แต่กัดฟันทน!! พอฉันจะส่งสะใภ้ใหญ่เข้าไปสะสางธุรกิจ ต้องขออนุญาตจากลูกจ้างด้วยเหรอ!! เขาคงลืมไปแล้วว่า ฉันเป็นเจ้าของเต็มตัว แต่ปล่อยให้พวกเขาทำกันเต็มที่ ทำไป ทำมาจนหลงนึกว่า หนังสือเป็นของเขา!! ฉันแฟร์กับเขามาก ให้เวลาปรับตัวปรับใจถึง 3 ไตรมาส แล้วเขาก็ยืนยันว่าเข้ากันไม่ได้ และบังคับให้ฉันเลือกข้าง คิดได้ยังไง ฉันก็ต้องเลือกลูกสะใภ้อยู่แล้ว!! ฉันยังใจดีให้เลือกว่า ถ้าคุณจะไป ฉันก็จ่ายเงินชดเชยให้ 10 เดือน ตามกฎหมาย หรืออีกทางหนึ่งคือ ฉันจะขายหัวหนังสือให้ ในราคา 30 ล้านบาท แถมเครื่องไม้เครื่องมือในออฟฟิศทุกอย่าง เรื่องนี้ลากยาวกันเป็นปี พอถึงเดือน ม.ค.ปี 2012 เขาก็เที่ยวพูดว่า มีเงินมาซื้อแล้ว แต่สรุปว่าไม่มี!! ก่อนจะจากกัน เขายังมาร้องไห้บอกว่า มีฉันเป็นนายคนเดียว แล้วก็ขอร้องให้ฉันช่วยซื้อที่ดินในซอยวัชรพล คือเบ็ดเสร็จหมดเงินไปกับผู้หญิงคนนี้เกือบ 20 ล้านบาทแล้ว ที่ยอมก็เพราะอยากจากกันด้วยดี
หลังปัดกวาดบ้านครั้งใหญ่ นิตยสาร Who? จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปเยอะไหม
    จุดยืนของฉันชัดเจนตั้งแต่วันแรกที่ทำหนังสือเล่มนี้ หนังสือของฉันต้องการมาตรฐาน ต้องนำเสนอเนื้อหาที่สร้างสรรค์สังคม ไม่ใช่เขียนแต่เรื่องบ้าๆบอๆ คนอ่านก็ไม่ได้อะไร  ถ้าคุณเขียนเรื่องดารา เรื่องเตียงหัก เรื่องติฉินนินทา ฉันไม่ให้ทำ จะยกออกทันที!! ฉันไม่มีเวลามานั่งตรวจต้นฉบับเองหรอก แต่ต้องขอตรวจหน้าปกทุกเล่ม
ตัวจริงของ “คุณสมพร” ทั้งเขี้ยวและเค็มอย่างที่ร่ำลือไหม
    ฉันไม่เคยได้ยิน!! สังคมมีแต่ชมฉันทุกประตู  ถ้าบอกว่าฉันเขี้ยว ถามหน่อยเถอะ ถ้าคุณคดโกงฉัน สมควรไหมที่จะต้องตรวจสอบ เป็นใครก็คงไม่ยอม!! คนเราทำอะไรต้องซื่อสัตย์ “ไทยซัมมิท กรุ๊ป” ทำมาค้าขายด้วยความซื่อสัตย์ยุติธรรมมา 40 ปี เชื่อมั่นว่าชื่อเสียงของเราเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง

อะไรคือหลักคิดที่ยึดถือจนประสบความสำเร็จเช่นวันนี้
    “ถ้าไม่นิ่ง...เป็นอะไรก็ไม่ได้” เป็นข้อคิดจากหนังสือสามก๊กที่ฉันยึดถือมาตลอด ทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิต

ข้อมูลและภาพจาก thairath

บทความที่คุณอาจสนใจ