จาก "สาวโรงงาน" สู่แม่บ้านฮ่องกง "เจ้าของสปาไทย" ในฝรั่งเศส แบบอย่างชีวิต จากคนจนสู่ความร่ำรวย!

คอมเมนต์:

จากเด็กที่เกิดมาในครอบครัวยากจน แห้งเเล้ง พ่อแม่เป็นชาวนา ไม่มีเงินส่งให้เรียนหนังสือ ล้มลุกคลุกคลาน ทำงานหลายอาชีพ จากสาวโรงงาน แม่บ้านฮ่องกง เปิดบริษัทส่งออก ลูกจ้างร้านนวด ต่อสู้จนเป็นเจ้าของธุรกิจสปาในฝรั่งเศส#ต้นแบบชีวิต #สาวโรงงาน #เจ้าของร้านสปาในฝรั่งเศส

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ 

        แบบอย่างชีวิต ผู้ไม่เคยท้อ จากครอบครัวยากจน พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียนหนังสือ ต่อสู้ความลำบาก จาก"สาวโรงงาน" แม่บ้านฮ่องกง คนงานร้านนวด สู่การเป็นเจ้าของธุรกิจสปาและร้านนวดในฝรั่งเศส 16 ปี สานฝันการเรียนจนจบ ป.โท ในวัย 52 ...

        “ไม่มั่นใจหรอกว่าจะเรียนจบ แต่บังเอิญ เป็นคนกัดไม่ปล่อย ทำอะไรก็แล้วแต่ต้องดีที่สุด และโหยหาความมั่นคง ถึงได้มีร้านสปา ร้านนวดเป็นของตัวเองที่ฝรั่งเศส และเรียนจบตรี จบโทด้วย

 

Sponsored Ad

 

        จันทร์ฉาย ทองมนตร์ หรือ ฉาย สาวอีสาน บ้านติ้ว หมู่ 6 ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ เล่าถึงแนวคิดการใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนย้ายรกรากมาอยู่ฝรั่งเศสนานเกือบ 20 ปี จากเด็กที่เกิดมาในครอบครัวยากจน แห้งเเล้ง พ่อแม่เป็นชาวนา ไม่มีเงินส่งให้เรียนหนังสือ ล้มลุกคลุกคลาน ทำงานหลายอาชีพ จากสาวโรงงาน แม่บ้านฮ่องกง เปิดบริษัทส่งออก ลูกจ้างร้านนวด ต่อสู้จนเป็นเจ้าของธุรกิจสปาในฝรั่งเศส เมื่อมีเงินและโอกาสจึงตัดสินใจเรียน ป.ตรี และป.โท แม้จะเรียนจบขณะที่อายุ 52 ปีก็ตาม

 

Sponsored Ad

 

        ลิขิตชีวิตเองได้ จาก"สาวโรงงาน" สู่แม่บ้านฮ่องกง

        ก่อนมาใช้ชีวิตคู่อยู่ที่ฝรั่งเศส กระทั่งสามารถเปิดร้านสปาในปารีส และมีร้านนวดอยู่ติดกับประตูชัย ฝรั่งเศสได้นั้น ชีวิตในวัยเด็กของเธอมาจากครอบครัวยากจนที่สุด ภาพชินตา คือ ความแห้งแล้ง เดินทางด้วยสองเท้าเพราะไม่มีรถ พ่อแม่มีอาชีพทำนา ซึ่งแต่ละปีก็ปลูกได้ผลดี บางปีก็คว้าน้ำเหลว

 

Sponsored Ad

 

        พออายุ 18 ปี เลยต้องเดินทาง เสาะหาทำกิน ไม่ได้อยากจากบ้าน จากพ่อแม่ แต่รู้ว่าสถานที่ที่อยู่ ไม่มีสิ่งใดที่จะเสริมสร้างให้เท่าเทียมคนอื่น หลังเรียนจบ ม. 6 พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเรียน เลยมาทำงานเป็น"สาวโรงงานเชือดไก่ของซีพี" ที่บางนา จนโรงงานย้ายมาเปิดที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี

        ทำงานด้วยความตั้งใจ ขยันขันแข็งอยู่ 7 ปี แต่ตำแหน่งไม่ได้ปรับเปลี่ยน เพราะการศึกษาน้อย จึงตัดสินใจเลือกไปเป็นแม่บ้านฮ่องกงในวัย 26 ปี

        “เป็นครั้งแรกที่ออกนอกประเทศ คำว่าแม่บ้านมันดูสวย หรู แต่จริงๆ ก็คือคนใช้นั่นแหละ ได้ทำงานกับเจ้านายที่มีธุรกิจเยอะแยะ มีร้านขายผัก ร้านถ่ายรูป นอกจากต้องทำงานบ้านแล้ว ต้องไปช่วยที่ร้านขายผัก ร้านถ่ายรูปด้วย ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ลำบากมาก คนจีนขยัน กลับบ้านดึก สี่ทุ่มต้องทำกับข้าวให้นาย ล้างจาน ชาม กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนตีหนึ่ง”

 

Sponsored Ad

 

        “โหยหาความมั่นคง” จึงถูกตำรวจฮ่องกงจับ ส่งตัวกลับไทย

        นอกจากงานบ้าน ดูแลนาย เธอยังต้องเลี้ยงเด็ก และดูแลคนแก่อีก 2 คน ทั้งเหนื่อย และลำบาก เพื่อแลกกับเงินเดือนเกือบหมื่นสาม และมีวันหยุดแค่ 1 วัน ด้วยความโหยหาความมั่นคง เธอจึงตัดสินใจหนีออกมารับงานเองได้ไม่กี่เดือน ก็ถูกตำรวจจับกักตัว 3 วัน หลังจากนั้นก็ถูกส่งตัวกลับไทย และติดเเบล็กลิสต์ห้ามเข้าฮ่องกง

        “เป็นคนโหยหาความมั่นคง อยู่แบบนี้ยังไงก็ไม่รวย เหนื่อย จุ๊กจิ๊ก เพราะดูแลทั้งนาย คนแก่ เด็กอีก ก็หนีแท็ก คือหนีออกจากบ้านนายจ้าง ไปหางานทำเอง กลางวันทำความสะอาดตึก ตอนเย็นไปล้างจานที่ร้านอาหาร ฮ่องกงมีตึกเป็นร้อยชั้น ก็ไปทำความสะอาดลิฟต์ทิ้งขยะ เสร็จแล้วก็แอบนอนห้องเล็กๆ ใต้บันไดตึก ตำรวจก็จับ เพราะถือว่าเป็นคนเถื่อน”

 

Sponsored Ad

 

        เลิกสามีไทย ปิดบริษัทส่งออก คิดหวนฮ่องกง แต่โชคชะตาพามาฝรั่งเศส

        ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำงานในฮ่องกงนานๆ เพื่อเก็บเงิน แต่ทำอยู่เกือบ 2 ปี หลังถูกส่งตัวกลับไทย โชคดีที่เธอใช้หนี้ค่าเดินทางมาทำงานที่ฮ่องกงหมดแล้ว และมีเงินเหลือกลับมาบ้างเล็กน้อย จึงมาเปิดร้านขายอาหารตามสั่งกับสามีไทย แต่ไม่กี่เดือนต่อมาเกิดหย่าร้างกัน จึงไปช่วยญาติที่เปิดร้านมินิมาร์ต และมีโอกาสเปิด “บริษัททองมนต์” ซึ่งมีหุ้นส่วนเป็นคนปากีสถาน ส่งสินค้าไทยต่างๆ ไปตะวันออกกลาง แต่ต้องหยุดกิจการ เนื่องจากไทยมีปัญหากับประเทศซาอุฯ เกี่ยวกับการขโมยเพชร

 

Sponsored Ad

 

        “ส่งของได้ลอตเดียว ไทยเจอแบล็กลิสต์จากซาอุฯ เรื่องเกี่ยวกับเพชรซาอุที่หายไป ก็แบนสินค้าทุกอย่างจากไทย บริษัทไปต่อไม่ได้ ก็กลับมาช่วยญาติที่ร้านมินิมาร์ต คิดว่าจะไปฮ่องกงอีกรอบ เพื่อนบอกว่าต้องเปลี่ยนชื่อ นามสกุล เพราะติดเเบล็กลิสต์อยู่ พอได้นาย และกำลังจะไปเปลี่ยนชื่อ บังเอิญเจอสามีฝรั่งเศสคนแรกก็แต่งงานและมาอยู่ฝรั่งเศส

        ไม่มีความรู้ แต่มาเป็นนักธุรกิจที่ปารีส จากลูกจ้าง"หมอนวด" สู่เจ้าของร้าน

Sponsored Ad

        ปี 2542 หลังแต่งงาน เธอจึงย้ายมาอยู่ฝรั่งเศสกับสามี แต่เพราะพูด “ภาษาฝรั่งเศส” ไม่ได้ จึงไม่สามารถหางานทำได้ ตกงานอยู่เกือบปี กระทั่งตัดสินใจมาทำงานร้านนวดแผนโบราณไทย ทั้งๆ ที่ไม่ชอบ และไม่คิดว่าทำได้ แต่ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือก และต้องส่งเงินมาดูแลลูก 2 คนในไทย

        เป็นลูกจ้างอยู่ปีกว่า ในปี พ.ศ. 2554 เจ้าของร้านคนไทยถูกลอตเตอรี่ 42 ล้านฟรังก์ หรือประมาณ 7 ล้านยูโร (1 ยูโร = 50 บาท) คิดเป็นเงินไทย 350 ล้านบาท อยากขายร้าน แต่ราคาแพง ยังไม่มีคนสนใจ แต่โชคดีเธอได้มีโอกาสซื้อเป็นเงินผ่อน

        “มันเป็นความบังเอิญที่เขายอม เขาบอกเราทำงานอยู่ที่นี่ ก็ยอมให้ผ่อน เพราะถ้าให้ซื้อเงินสด ก็ไม่มีเงินหรอก จริงๆ เขาอยากขายเงินสด แต่ไม่มีคนซื้อ สมัยก่อน 6-7 หมื่นยูโร ถือว่าแพงมาก เขายอมให้ผ่อน เลยได้โอกาสเป็นเจ้าของ และขยายเป็นสปา


        มีฐานะ มีเงิน มีบ้าน แต่ชีวิตยังโหว่เรื่องการศึกษา ซุ่มเรียน ป.ตรี ในวัย 39

        เมื่อได้เป็น “เจ้าของธุรกิจ” นอกจากการบริหาร สิ่งต้องทำ คือ บัญชีร้าน แม้จะทำงานเหนื่อย แต่ตอนกลางคืนหลังปิดร้าน 2-4 ทุ่ม เธอก็ไปเรียนภาษาฝรั่งเศส จนเริ่มอ่านออกเขียนได้ มีความรู้มากขึ้น และมีฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น มีเงินจนซื้อบ้านเป็นของตนเอง มีความมั่นคง จากธุรกิจที่เติบโตอย่างขีดสุด เปิดประตูร้านปุ๊บ มีแขกตลอดวันจนกระทั่งปิดร้าน

ห้องสอบ วิทยบริการฯ ต่างประเทศ ศูนย์สอบปารีส

        อยากเที่ยวก็ได้เที่ยว อยากไปไหนก็ได้ไป แต่เธอยังรู้สึกว่าชีวิตยังไม่ดีที่สุด และเกิดความคิดว่า “ชีวิตมีแค่นี้หรือ” อีกทั้งเธอเชื่อว่าแม้วันนี้เป็นเจ้าของธุรกิจ และได้ทำตามความฝันในเรื่องอื่นๆ แล้ว แต่ที่สุดของชีวิตก็ต้องเป็นเรื่องการศึกษา เธอเลยกลับมาเรียนหนังสืออีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2549 ขณะอายุ 39 ปี โดยลงสมัครออนไลน์ เรียนกับมหาวิทยาลัยรามคำแหงควบคู่กับการเปิดร้านสปา

        “ชีวิตดีขึ้นแล้ว มีทุกอย่าง มีธุรกิจเอง มีร้านนวด 3 ร้าน ชีวิตสมประกอบหมด แต่รู้สึกมีช่องโหว่ ก็คิดว่ากลับมาเรียนหนังสือต่อดีกว่า ก็เรียนควบคู่กับการเปิดร้านไปด้วย ตอนเรียนไม่กล้าบอกใคร เพราะคิดว่าจะเรียนจบไหม งานที่ร้านก็ต้องทำ เรียนหนังสือก็ต้องเรียน

        ตอนเเรกเรียนคณะศึกษาศาสตร์ต้องเรียน 5 ปี เเถมปีที่ 5 ต้องไปฝึกงาน ตายละหว่าไปฝึกที่ไหนล่ะ เราอยู่ฝรั่งเศสเป็นไปได้ยาก เสียเวลาไปเกือบ 2 ปี ก็ย้ายมาคณะบริหารการจัดการ เพราะสันทัดบ้างจากธุรกิจของตัวเอง เรียนบริหารไม่ง่าย เพราะเราเรียนครั้งสุดท้ายตอนอายุ 18 มาเรียนอีกทีอายุ 39 ห่างหายนานมาก

        “ทำอะไรแล้วต้องดีที่สุด” และ “กัดไม่ปล่อย” ซุ่มเรียนจบ ป. โทใน 3 ปี

        หลังสมัครเรียนทางมหาวิทยาลัยจะส่งหนังสือ ซีดีตำราเดียวกับผู้ที่เรียนในชั้นปกติมาให้ที่ฝรั่งเศส และต้องไปสอบที่สถานทูตไทยประจำกรุงปารีส ปีละ 2 ครั้ง ในเดือน มี.ค. และ ก.ย. แม้จะต้องเหนื่อยทั้งเรื่องงานและเรียน แต่เธอก็ตั้งใจมุมานะ จนเรียนจบปริญญาตรี สาขาวิทยบริการฯ คณะบริหารธุรกิจ ได้ในปี พ.ศ. 2557 ขณะอายุ 47 ปี รวมเวลาทั้งสิ้น 8 ปี

        กว่าจะเรียนจบ เธอยอมรับว่า “ยาก” แต่ใจสู้ เพราะอยากประสบความสำเร็จในการศึกษา ต้องอดทน เพราะไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน ไม่มีครู ต้องทำเองทุกอย่าง ทั้ง อ่านหนังสือเอง ฟังเอง เลคเชอร์เอง โดยวิชาหนึ่งจะมีซีดี 10 แผ่น ต้องฟังไปเรื่อยๆ บางแผ่นใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง วิชาที่เรียนยากสุด คือ บัญชี แต่ด้วยต้องทำบัญชีธุรกิจของร้าน และ ม. 6 เคยเรียนบัญชีเบื้องต้น ไป 1 เล่ม ทำให้ผ่านไปได้ด้วยดี

        และความที่เป็นคน “ทำอะไรแล้วต้องดีที่สุด” และ “กัดไม่ปล่อย” อีก 2 ปีต่อมา เธอจึงตัดสินใจลงเรียน ป.โท ในสาขาเดิม ซุ่มเรียน 3 ปี จนจบเมื่อ มี.ค. 62 ในวัย 52 ปี โดยทีแรกเธอตั้งใจจะเรียน 3-4 ปี เเต่สงสารและเกรงใจสามี เพราะทุกวันเธอตื่นตี 2 มาอ่านหนังสือจนถึงตี 5 ทุกวัน เสร็จก็กลับไปนอนจนถึง 8-9 โมงเช้า บางวันทำเสียงดัง สามีก็ตื่น เลยตั้งใจรีบเรียนให้จบ

        “ครั้งแรกลง 8 วิชา ตก 6 วิชา สอบเช้าถึงเที่ยง หรือเที่ยงถึงบ่ายสาม สอบเสร็จก็รีบวิ่งกลับไปทำงานที่ร้าน เป็นอย่างนี้ตลอด ตอนหลังรู้ว่าถ้าอยากเรียนจบต้องหยุดทำงาน เลยตัดสินใจว่าช่วงสอบ 4 วัน คือ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์จะหยุดทำงาน ตอนปีท้าย มั่นใจว่าเรียนได้ เรียนผ่าน หยุดทำงาน 1 อาทิตย์ เพื่ออ่านหนังสือ 

จันทร์ฉาย ทองมนต์ กับสามี Philippe Hebert

        เรียนจบตรีแล้ว ก็คิดว่าน่าจะสร้างคุณค่าให้ตัวเองอีกสักนิด ก็เรียนต่อโท ซุ่มเรียนเหมือนเดิม ไม่มั่นใจหรอกว่าจะเรียนจบ แต่บังเอิญ เป็นคนกัดไม่ปล่อย ทำอะไรก็แล้วแต่ต้องดีที่สุด เรียนโทต้องใช้เทคโนโลยีเยอะเพราะต้องเขียนรายงานทุกเล่ม

        ต้องมีจุดพอ เลิกกิจการ เรียนรู้สิ่งใหม่รอบโลก จากการไม่ต้องทำงาน 

        และเพราะการเรียน “บริหาร" นี่เอง นอกจากใช้บริหารธุรกิจที่ร้าน เธอยังใช้บริหารชีวิตด้วย โดยหลังกฎหมายฉบับใหม่ ระบุให้คนฝรั่งเศสต้องทำงาน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ห้ามเกินที่กำหนด ส่งผลให้ร้านสปาและร้านนวดรายได้เริ่มลดลง หากอยากให้มีรายได้ดีเหมือนเคย ต้องเปิดร้านใหม่ที่มีพนักงานมากขึ้น

.

        อีกทั้งช่องทางการตลาดเปลี่ยนไป มี E-Commerce หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และมีบริษัทท่องเที่ยวมาจัดโปรขายให้ลูกค้าโดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งความอิ่มตัวที่เธอเปิดร้านมา 16 ปี ชีวิตไม่มีหนี้สิน และมีพร้อมทุกอย่างที่ต้องการนอกจากนี้ยังมีรายได้ที่ลงทุนจากหุ้น อสังหาริมทรัพย์ที่แคนาดา และสวนยางพาราที่ไทย จึงคิดว่าพอแล้วกับชีวิตการทำงาน จึงปิดกิจการได้เกือบ 3 ปี และใช้ชีวิตเดินทางเที่ยวรอบโลกกับสามี 

        “มันต้องมีจุดที่เราต้องพอ ถ้าต้องขวนขวายไปตลอด ชีวิตก็จะหยุดไม่ได้ เรายังต้องการท่องเที่ยว ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดจากการไม่ต้องทำงาน ตรงนี้สำคัญมาก การเรียนบริหาร ถ้าไม่เรียนก็จัดการตัวเองไม่เป็น ได้มากได้น้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณจัดการเป็นไหม การเรียนบริหารช่วยตรงนั้น” จันทร์ฉายกล่าวทิ้งท้าย

ชมคลิป

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก <<<

ข้อมูลและภาพ จาก thairath

บทความที่คุณอาจสนใจ