เปิดชีวิต "สมคิด ลวางกูร" จากเด็กวัด แย่งข้าวสุนัขกิน สู่นักเขียนผู้มียอดขายกว่า 300 ล้าน!

คอมเมนต์:

เปิดชีวิต "สมคิด ลวางกูร" จากเด็กวัด แย่งข้าวสุนัขกิน สู่นักเขียนผู้มียอดขายกว่า 300 ล้าน!

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปที่เกี่ยวข้องได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

        แน่นอนว่าใครหลายคนคงรู้จักกับชายที่เป็นทั้งนักคิด นักเขียน นักการเมือง อีกทั้งยังเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์คนคิดดีที่มียอดขายถล่มทลาย ซึ่งนั่นก็คือ "สมคิด ลวางกูร" บุคคลที่มีชีวิตพลิกผัน มีบทบาทหน้าที่หลายหน้าที่ จนมีเงินทองหลั่งไหลเข้ามามากมาย แต่ในบางครั้งเขาก็ลงถึงขั้นไม่มีจะกินสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็มี

        คุณสมคิดนั้นเป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ไม่มีพ่อมีแต่แม่ที่คอยทำมาหากินและไม่มีเวลาเลี้ยงเขา จนต้องนำเขาไปฝากกับหลวงตาที่วัดตั้งแต่เด็กๆ เขาต้องอาศัยข้าววัดกินประทังชีวิต บางครั้งก็อดจนถึงขั้นแย่งข้าวสุนัขกินก็มี และด้วยความยากลำบากนี้เองก็สร้างแรงบันดาลใจให้เขาในเรื่องของการขวนขวายหาความรู้สู้ทนทำงานทุกอย่างเพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่า โดยมีปรัชญาที่ว่าอยากสำเร็จต้องมีเป้าหมาย…

 

Sponsored Ad

 


        พอโตขึ้น สมคิดได้ทำงานรับจ้างแทบทุกอย่าง เขามีความรู้สึกอยากจะหนีชีวิตที่ทุกข์ทรมานแบบนี้ จึงได้ตัดสินใจไปถามหลวงพ่อว่าถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร ซึ่งหลวงพ่อท่านก็แนะนำมาว่าต้องฉลาดและถ้าอยากฉลาดก็จะต้องอ่านหนังสือเยอะๆ

        และด้วยความที่สมคิดยังพออ่านเขียนหนังสือได้ เขาไปเจอข้อคิดของ ‘เดล คาร์เนกี้’ ที่บอกว่าอยากประสบความสำเร็จต้องมีเป้าหมายในชีวิต จึงทำให้เขาได้เริ่มตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่าอยากจะมีเงินสัก 1 ล้านภายในอายุ 25 ปีและพอเขาอายุได้ 11 ปีก็ไปชกมวยเพราะเป็นอาชีพเดียวสำหรับคนที่ไม่มีความรู้สามารถหาเงินได้เยอะๆ…

 

Sponsored Ad

 


        ในตอนนั้นสมคิดเรียนหนังสือไปพลางและชกมวยไปพลางหลายปี พอแม่ทราบก็อยากจะให้เลิก จึงทำให้เขานั้นต้องผันตัวเองไปเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร จากนั้นแม่ของเขาก็พาไปฝากงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาบอบนวดเช้าไปเรียน กลางคืนไปทำงาน รายได้ดีเพราะได้ทิปเยอะ แต่สุดท้ายเขากลับต้องพบกับหายนะครั้งแรกในชีวิต เพราะไปหลงกับอบายมุขทั้งผู้หญิงและการพนันจนกลายเป็นคนติดเหล้า 

        บทเรียนในครั้งแรกนั้นก็ทำให้เขารู้ว่า อบายมุขทำให้ชีวิตตกต่ำ จึงปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับอบายมุขอีกเด็ดขาด และจะต้องมีวินัยให้กับตัวเอง จึงทำให้เขานั้นตัดสินใจมาสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติ หลังจากนั้นเขาก็ได้ย้ายมาทำงานในแผนกครัวการบินของการบินไทย จนกระทั่งถูกย้ายไปอยู่สายการบินสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ซึ่งถือเป็นสายการบินที่มีระบบการบริหารดีที่สุดในโลก สมคิดใช้เวลาใน 6 ปีในต่างแดน อดทนทำงานทุกอย่างเพื่อไต่เต้าจากพนักงานล้างห้องน้ำขึ้นระดับบริหารของสายการบิน

 

Sponsored Ad

 


        “6 ปีที่อยู่กับสแกนดิเนเวียนแอร์ไลน์ ผมใช้เงินน้อยมาก เพราะบริษัทมีสวัสดิการดีมาก ที่พัก อาหารการกิน ท่องเที่ยว จ่ายให้หมด เลยไม่ต้องใช้เงิน อายุครบ 25 ผมมีเงิน สดในธนาคาร ครบ 1 ล้านบาทพอดี แถมด้วยบ้านอีก 1 หลัง รถยนต์ 1 คัน ซึ่งถือว่าเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

        ช่วงนั้นทนคิด ถึงบ้านไม่ไหว แล้วก็อยากกลับมาขอแฟนแต่งงานตามที่สัญญากันไว้ จึงลาออก แต่ปรากฏว่า พอกลับมาเมืองไทย แม่แฟนบอกว่า ยังไม่อยากให้แต่งกันตอนนี้ เพราะยังเด็กอยู่ ผมผิดหวังมาก รับไม่ได้กับคำปฏิเสธ เพราะตอนนั้นรู้สึกว่า เฮ้ย..เราไม่เคยล้มเหลว ถ้าตั้งใจแล้วไม่มีอะไรที่ไม่สำเร็จ มันเลยเคว้งไปหมด เบื่อชีวิต เลยหนีเข้าป่า เป็นอย่างนี้อยู่ 3 ปี จนเงินหมด ซึ่งต้องถือว่าช่วงนั้นเป็นหายนะครั้งที่ 2 ของชีวิต เพราะว่าเราคิดไม่เป็น อีโก้มันบังตา พอคิดได้ก็เลยกลับมาตั้งเป้าหมายในชีวิตอีกครั้ง และเป็นเป้าหมายที่ใหญ่กว่าเดิม คือตั้งเป้าว่าจะต้องมีเงิน 10 ล้านให้ได้”

 

Sponsored Ad

 

        สมคิดก็ได้ใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากสายการบินมาเป็นจุดขายในการบริหารงานรับจ้างกับบริษัทต่างๆ ที่กำลังประสบปัญหา เขาสามารถทำผลงานเพิ่มยอดขายได้จากปีละ 25 ล้านบาทเป็นร้อยกว่าล้านบาท จากกำไรเดือนละ 13 ล้านบาทก็กลายเป็น 75 ล้านบาท ทำให้สมคิดมีเงินเดือนเกือบแสนในขณะอายุเพียงแค่ 30 ต้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นเขาจึงผันตัวเองมาทำธุรกิจส่วนตัวโดยร่วมมือกับเพื่อนทำค่ายเพลงขึ้น

        แต่เมื่อยักษ์ใหญ่อย่างอาร์เอสและแกรมมี่เข้ามาตีตลาด ก็ทำให้เขาหันไปสร้างธุรกิจใหม่นั่นก็คือการปั้นนักพูดหรือทำทอล์คโชว์นั่นเอง ซึ่งเขาก็ได้ปั้นนักพูดชั้นนำระดับประเทศมาประดับวงการอยู่ไว้หลายๆ คนไม่ว่าจะเป็น พ.อ.นพ.พงศักดิ์ ตั้งคณา , นพ.สุกมล วิภาวีพลกุล นักพูดแนวเพศศึกษา, รวมทั้งทนายวันชัย สอนศิริ และทนายประมาณ เลืองวัฒนะวณิช

 

Sponsored Ad

 

        แต่แล้วปัญหาก็มาเยือนอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการลอยตัวของค่าเงินบาท ทำให้วงการทอล์คโชว์ขาดทุนย่อยยับ จนสมคิดถึงกับหมดตัวภายในชั่วข้ามคืน เขารู้สึกเสียใจและอับอายเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่สามารถคืนเงินที่ยืมมาจากผู้หลักผู้ใหญ่ได้ ชื่อเสียงและเครดิตที่สั่งสมมานานหลายปีมลายหายไปจนเกือบหมดสิ้น สุดท้าย สมคิดและภรรยาตัดสินใจขายสมบัติทุกชิ้น เพื่อนำเงินไปใช้หนี้ เขาเล่าว่าตอนนั้น เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้าเพราะกลัวเจ้าหนี้มาดักรอ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงชีวิตที่ตกต่ำมากที่สุด

 

Sponsored Ad

 


        “ตอนนั้นที่เสียใจที่สุด ไม่ใช่เพราะหมดตัวนะ แต่เสียใจที่ไม่สามารถรักษาคำพูดได้ ทำให้ผู้ใหญ่ที่ช่วยเหลือเราเดือดร้อนไปด้วย เพราะตลอดหลายสิบปี ที่ผ่านมา ผมไม่เคยเสียคำพูด ตอนนั้น อะไรขายได้ขายหมด เพื่อเอาเงินมาทยอยใช้หนี้ ไม่มีแม้กระทั่งเงินซื้อข้าวกิน ต้องออกจากบ้านทุกวันเพื่อหนีเจ้าหนี้ บางวันเหลือเงินติดตัวแค่ 6 บาท ไม่พอค่ารถเมล์สองคน

        แต่เราก็คงพอมีบุญอยู่บ้าง ระหว่างที่ผมรื้อค้นข้าวของ ว่าพอจะเอาอะไรไปขายได้บ้าง ก็มาเจอสคริปทอล์กโชว์ของ นพ.พงศักดิ์ที่ผมเขียนไว้ มานั่งอ่านดูเออ.. มันตลกนะ น่าจะทำเป็นหนังสือขายได้ ผมก็ไปคุยกับเจ้าของสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เสนอต้นฉบับให้เขาพิมพ์พ็อกเก็ตบุค เขาก็มองว่า เรื่องธรรมะขายยาก ใครจะซื้อ เอางี้แล้วกัน..เขาจะช่วยซื้อต้นฉบับในราคา 50,000 บาท

Sponsored Ad

        ผมบอกว่า เงินแค่นี้ไม่พอใช้หนี้หรอก ผมขอส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วกัน และผมเชื่อว่ามันขายได้ อย่างน้อยๆก็ 20,000 เล่ม เขาหัวเราะเลย บอกปกติหนังสือแต่ละเล่ม ใช้เวลาขาย 1 ปี ได้สัก 30,000 เล่มก็สุดยอดแล้ว ถ้าเกิดผมอยากพิมพ์ก็ต้องลงทุนเอง เดี๋ยวเขาจะคุยกับญาติที่เป็นเจ้าของโรงพิมพ์ให้ช่วยพิมพ์ แล้วก็ช่วยการันตีกับบริษัทขายกระดาษให้ผมพิมพ์หนังสือไปก่อน ขายได้แล้วค่อยเอาเงินมาคืน ปรากฏว่า ขายได้ถึง 50,000 เล่ม ผมใช้หนี้ได้หมด ซึ่งนับเป็นการพลิกชีวิตครั้งใหญ่เลยทีเดียว” สมคิดเล่าด้วยความภาคภูมิใจ

        ในตอนนั้น นอกจากที่เขาจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง เขายังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการหนังสืออีกด้วยสมคิดถือเป็นคนแรกของเมืองไทยที่ทำหนังสือธรรมะที่น่าเบื่อในสายตาของคนส่วนใหญ่ให้กลายเป็นหนังสือขายดี ระดับเบสท์เซลเลอร์!! ถึงแม้จะไม่ได้จบทางด้านนิเทศหรืออักษรศาสตร์แต่เท่านั้นก็สามารถประสบความสำเร็จทางด้านนี้ได้ในอาชีพของนักเขียนซึ่งเขาก็สร้างปรากฏการณ์อย่างน่าเหลือเชื่อในวงการน้ำหมึก ด้วยยอดขายถล่มทลายกว่า 31 ล้านเล่มจากปลายปากกาของเขาบางเล่มขายได้ถึง 4-5 แสนต่อเล่มยอดขายรวมแล้วกว่า 300 ล้านบาท

        ปัจจุบันสมคิดกลายเป็นทั้งนักเขียนและเจ้าของสำนักพิมพ์ รวมถึงเป็นปรมาจารย์ทางด้านการปั้นนักเขียนอีกด้วย สมคิดไม่เพียงแต่จะสอนวิธีการเขียนงานให้โดนใจ แต่ยังสอนกลยุทธ์ในการทำตลาดให้หนังสือมีความโดดเด่น อีกทั้งยังมียอดขายถล่มทลายเช่นเดียวกับหนังสือของเขา 

        ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจมาอย่างมากมายมีทั้งชื่อเสียง เงินทองและกลายเป็นคนดัง สุดท้ายเขาก็กลายเป็นคนที่ใฝ่หาความสงบและอิ่มเอมจากการปฏิบัติธรรมและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยมีความสุขจากการให้และการแบ่งปัน นั้นเอง

        “คือผมมีปมด้อย เด็กๆ ยากจนมาก เราก็ตั้งเป้าว่าอยากจะมีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันโตๆ อยากไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนี้เราได้หมดแล้ว ได้มากกว่าที่หวังไว้ด้วย มาถึงวันนี้ความคิดมันเปลี่ยน มันเริ่มอิ่ม ถึงปัจจุบันยังต้องทำงานส่งลูกเรียนอยู่ แต่อีกมุมหนึ่งเราก็เริ่มหาความสุขจากการปฏิบัติธรรม

        ผมอยากทำให้คนหันมาสนใจธรรมะกันมากขึ้น โดยใช้หนังสือของเราเป็นสื่อ คือถ้าเราสื่อคำสอนออกมาได้น่าสนใจ มีตัวอย่างที่สนุกสนาน อ่านแล้วเขาก็ขำ หัวเราะ พอขำเสร็จเราก็สอดแทรกธรรมะ อย่างหนังสือฮาสุดขีด เล่มแรกเป็นเรื่องไตรลักษณ์ ซึ่งคนมองว่าเป็นเรื่องยาก เราก็มาย่อยให้อ่านสนุก ตอนนี้นอกจากขายแล้วเราก็แจกจ่ายไปตามห้องสมุด สถานศึกษา ปีหนึ่งๆ หลายหมื่นเล่ม

        ตอนนี้ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ถ้าอะไรทุกอย่างลงตัวหมดแล้ว ผมจะเลิกทำธุรกิจ ไปอยู่อาศรม คือจะไปสร้างบ้านหลังเล็กๆ อยู่ต่างจังหวัด อยู่สงบๆ ปฏิบัติธรรม เขียนหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ให้คนรุ่นหลัง เพราะผมมองว่า ไม่มีหนทางไหนที่จะให้ความสุขแก่เรา ได้มากไปกว่าการก้าวไปสู่ความดี โดยไม่ถอยหลังกลับ”

ชมคลิป...

คลิปเปิดไม่ออก >>>กดตรงนี้ คลิ๊ก<<<

ข้อมูลและภาพจาก siamtodaynews

บทความที่คุณอาจสนใจ