เรื่องราวของน้องหมาผู้โชคร้าย ชื่อว่า อาร์เชอร์ (Archer) ได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกไฟคลอก หลังเกิดเพลิงไหม้ในบ้าน มันตกใจและพยายามวิ่งหนีห่างออกจากเปลวไฟที่กำลังลุกลาม 

    เจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามเข้าไปประชิดตัวเพื่อช่วยเหลือ แต่ด้วยความหวาดกลัวและตกใจ ทำให้มันวิ่งหนีหายออกจากบ้านไปในความมืด 

    แม้เจ้าหน้าที่จะพยายามตามหาทั้งคืนแต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งเช้าของวันถัดมาก็มีพลเมืองดีพบเจ้าหมาที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล นอนหมดแรงอยู่บริเวณข้างทะเลสาบ

    พวกเขารีบพาตัวมันไปที่คลินิกในทันที แต่สัตวแพทย์ไม่สามารถทำการรักษาให้ได้เนื่องจาก บาดแผลของมันสาหัสมาก อุปกรณ์ที่คลินิกมีก็ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้การรักษาได้ อีกทั้งเมืองที่พวกเขาอยู่ก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกล ไม่มีสถานพยาบาลขนาดใหญ่สำหรับสัตว์ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์มากพอ จึงทำให้พวกเขายิ่งหมดหวัง

    แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้รับข่าวดี เมื่อ ดร. มิเชลล์ โอ๊คลีย์ (Dr. Michelle Oakley) สัตวแพทย์ผู้ประสบการณ์ในการรักษาสัตว์ที่ถูกไฟไหม้ ได้ติดต่อเข้ามาหลังทราบเรื่องราวของอาร์เชอร์ และได้แจ้งความประสงค์มอบความช่วยเหลือให้ แต่พวกเขาต้องพาเจ้าหมาเดินทางไปรักษาตัวที่รัฐแคลิฟอร์เนีย

    ครอบครัวยินดีที่จะส่งตัวเจ้าหมาไปรักษา แต่ปัญหาอยู่ที่ระยะทางระหว่างเมืองเฮนส์ รัฐอลาสก้า และ รัฐแคลิฟอร์เนีย อยู่ห่างกันมากกว่า 4,000 กิโลเมตร และอาการบาดเจ็บของเจ้าหมาก็ยังไม่ทรงตัวดีนัก จึงเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากหากจะทำการเคลื่อนย้าย จึงจำเป็นที่จะต้องรอให้อาการของมันดีขึ้นกว่านี้อีกนิด

    ทางด้าน ดร.มิเชลล์ แนะนำให้ครอบครัวพาเจ้าหมาเดินทางไปรักษาอาการเบื้องต้นที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเมืองที่ใกล้ที่สุด แม้ว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางมากถึง 7 ชั่วโมง แต่ครอบครัวก็ตอบตกลงเพราะนั่นเป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุดแล้ว

    เมื่อเดินทางไปถึงสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์ก็ให้การดูแลเป็นอย่างดี จนกระทั่งอาการของเจ้าหมาริ่มทรงตัว จึงอนุญาตให้อาร์เชอร์เดินทางได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าอาการโดยรวมจะดีขึ้นบ้างในระดับหนึ่ง แต่บาดแผลบริเวณลำตัวและโดยเฉพาะบริเวณใบหน้าของมันก็คงสร้างความเจ็บปวดให้กับมันไม่น้อย

    หลังจากที่เดินทางมาถึง ดร.มิเชลล์ ก็ได้ตรวจสอบดูก็พบว่า อาการของเจ้าหมาหนักและรุนแรงกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้มาก เธอจึงติดต่อไปยัง ดร.เจมี่ เพย์ตัน (Dr. Jamie Peyton) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเผาไหม้ ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

    ดร.เจมี่ แนะนำให้ ดร.มิเชลล์ ใช้วิธีการรักษาแผลไฟไหม้ในรูปแบบใหม่นั่นก็คือการใช้หนังปลาในการรักษา โดยหนังปลาที่ใช้ต้องเป็นหนังของปลาในสกุลทิลาเพีย (Tilapia) เป็นปลาที่พบได้ทั้งน้ำจืดและน้ำกร่อย คนไทยเราจะรู้จักกันในชื่อ "ปลานิล" 

    ซึ่งหนังปลาดังกล่าวจะต้องถูกนำมาฆ่าเชื้อก่อนที่จะนำไปปิดไว้บริเวณแผลไฟไหม้ ผิวของปลานิลจะช่วยรักษาบาดแผลไฟไหม้ได้ดี เพราะมีความชุ่มชื้นและคอลลาเจนสูง สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ดีเทียบเท่ากับผิวหนังของมนุษย์ ช่วยร่นระยะเวลาการบำบัดและประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษา 

    อีกทั้งยังช่วยทำให้การสูญเสียของเหลวลดน้อยลงและลดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยได้อีกด้วยเพราะไม่ต้องเปลี่ยนผ้าพันแผลและทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ ความวิเศษของหนังปลาอีกอย่างหนึ่งที่น่าทึ่งนั้นก็คือ ผู้ป่วยบางรายสามารถทิ้งหนังปลานิลไว้บนแผลกระทั่งแผลแห้งกลายเป็นแผลเป็นได้เลย

    ไม่เพียงแค่ให้คำแนะนำเท่านั้น แต่ดร.เจมี่ยังเดินทางมาสอนวิธีการใช้หนังปลาเพื่อรักษาบาดแผลไฟไหม้ที่เกิดขึ้นกับเจ้าอาร์เชอร์ด้วยตัวเองอีกด้วย

    ใบหน้าของอาร์เชอร์ก็ถูกปกคลุมไปด้วยหนังปลา ทำให้มันดูเหมือนกับมังกร จนได้รับชื่อเล่นใหม่ว่า "มังกรอาร์เชอร์"

    แผลของอาร์เชอร์ดีขึ้นแทบจะในทันที และเมื่อรักษาบาดแผลจนหายดี ทาง ดร.มิเชลล์ กลับไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการรักษาเลย ความใจดีของ ดร.มิเชลล์ ได้สร้างความประทับใจให้กับชาวเมืองจำนวนมาก พวกเขาทั้งรู้สึกสงสารและขอบคุณ ดร.มิเชลล์ มาก ๆ ที่ช่วยเหลือเจ้าอาร์เชอร์

    นอกจากนี้แล้วชาวเมืองยังได้ร่วมบริจาคเงินจำนวนหนึ่งมอบให้กับ ดร.มิเชลล์ ด้วยเพราะต้องการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์อื่น ๆ เพิ่มเติมของอาร์เชอร์ไม่ว่าจะเป็นค่ายาต่างๆ ก่อนหน้านี้นับไม่ถ้วน และรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการผ่าตัดด้วยเลเซอร์หลังจากนี้ด้วย

    ดร.มิเชลล์ เปิดใจว่า อาร์เชอร์เป็นน้องหมาน่ารักมาก ๆ และมีหัวใจของนักสู้ แม้ว่าจะเจ็บปวดจากพิษบาดแผลทั่วทั้งตัว แต่เมื่อได้เห็นสัตวแพทย์เดินเข้ามาเพื่อตรวจร่างกาย เขายังส่ายหางไปมาด้วยความรู้สึกยินดีและดีใจทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ทำให้สัตวแพทย์ทุกคนต่างก็ทุ่มเทเพื่อทำให้ความเจ็บปวดและบาดแผลบนตัวของเขานั้นหาย

    นอกจากนี้อยากขอบคุณอาร์เชอร์ ที่เป็นเหมือนอาจารย์สอนให้เธอได้เรียนรู้วิธีรับมือกับบาดแผลที่เกิดจากการถูกไฟไหม้ด้วย ซึ่งองค์ความรู้ที่เธอได้รับในครั้งนี้ สามารถช่วยเหลือน้องหมาและสัตว์ชนิดอื่น ๆ ได้ในอนาคตอย่างแน่นอน

ที่มา : People, The Sun