สองตา-ยาย โดนลูกชายสุดท้อง สร้างหนี้กยศ. 1.3 แสน วันนี้โดนไล่ที่ หวั่นไม่มีที่ซุกหัวนอน

คอมเมนต์:

เศร้าจริงๆค่ะ เวรกรรมทำได้ยังไง ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ ยังมาทำให้ต้องมาลำบากตอนแก่อีก

    สังคมไทยเรานั้นถูกปลูกฝังให้ทุกคนเป็นคนดี เป็นคนกตัญญูต่อบุพการี เพราะความปรารถนาดีของท่านทั้งสอง ที่เป็นผู้ให้กำเนิดและส่งเสียเลี้ยงดูเรามาถึงวันนี้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ถือเป็นสิ่งที่ประเสริฐเกินจะหาได้จากที่ใดบนโลกนี้

    แต่กับเรื่องราวในครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีสองตายายเข้าร้องสื่อ วอนช่วยตามหาลูกชายคนสุดท้องให้ที หลังสร้างปัญหาจนถูกยึดที่ดิน ขายทอดตลาด เพราะหลอกให้เซ็นเอกสาร หลังไปกู้เงินกยศ.กว่า 1.3 แสน โดยที่เจ้าตัวก็แทบจะไม่รู้ ว่านี่คือเอกสารอะไร

 

Sponsored Ad

 

    ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ ไปพบกับ นายเชิด นุ่มวงษ์ อายุ 88 ปี และ นางทองคำ นุ่มวงษ์ อายุ 84 ปี สองตายาย อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 29 ม.1 ต.วังไทร อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร ซึ่งทั้งคู่ได้ร้องให้สื่อช่วยตามหา "นายธนา นุ่มวงษ์" ลูกชายคนสุดท้องวัย 42 ปี ที่หายไปตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นเวลาสิริรวม ร่วม 5 เดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ นายธนา นุ่มวงษ์ หรือโอ ได้บอกกับพ่อแม่ว่าจะออกไปหาเงินมาใช้หนี้ กยศ. ที่ตนเองกู้ยืมเรียนจบในช่วงปี 2543 รวม 130,000 บาท 

 

Sponsored Ad

 

    จนมีหนังสือจากสำนักงานบังคับคดีจังหวัดกำแพงเพชร ประกาศยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 โดยทางสำนักงานบังคับคดีได้เคาะขายทอดตลาดไปแล้วถึง 4 รอบ มีผู้เคาะซื้อไปได้ในราคา 402,000 บาท จากที่ดินจำนวน 16 ไร่ 89.9 ตารางวา ส่วนหนังสือทวงถามหนี้จาก กยศ.ที่ส่งมาให้กับนายธนา ถูกซ่อนไว้ในห้องของนายธนาตลอดมา เมื่อมาค้นเจอก็สายไปแล้ว ที่จะไกล่เกลี่ยขอประนอมหนี้

    ล่าสุดผู้ที่ซื้อที่ดินที่ขายทอดตลาดไป ได้มาติดต่อสองตายาย เพื่อขายที่ดินแผงนี้คืนให้ ซึ่งขายในราคา 800,000 บาท โดยลูกชายหลอกตายายว่า ต้องจ่ายมัดจำ 20,000 บาท และเซ็นชื่อในเอกสารสัญญาซื้อขาย ซึ่งข้อมูลทั้งหมดตากับยายไม่รู้เลยว่าที่เซ็นไปนั้นคือเอกสารอะไร ลูกชายบอกให้เซ็นเอกสารก็เซ็นไปตามนั้น

 

Sponsored Ad

 

    ซึ่งผู้ที่กว้านซื้อที่ดินไป ได้ขอนัดให้ชำระค่าซื้อขายกันเป็นงวดๆ โดยงวดที่ 1 (2 ต.ค.63) ต้องชำระ 130,000 บาท งวดที่ 2 (2 พ.ย.63) ชำระ 130,000 บาท งวดที่ 3 (2 ธ.ค.63) 120,000 บาท และงวดที่ 4 (14 ธ.ค.63) งวดสุดท้าย จำนวน 400,000 บาท

     โดยระหว่างนั้นช่วงกลางเดือน พ.ย.63 นายธนา ลูกของตายาย บอกว่าจะไปหาเงินมาจ่ายค่าที่ดินและใช้หนี้ ซึ่งตอนนี้ผ่านไปกว่า 5 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อมาเลย โดยเงินส่วนต่างที่ทาง กยศ. หักที่กู้ยืมและดอกเบี้ยไป จำนวนกว่า 1 แสนบาท ซึ่งต้องคืนให้ครอบครัวของตายาย แต่เนื่องจากติดต่อ นายธนา ลูกชายไม่ได้ จึงไม่สามารถขอรับเงินส่วนต่างที่เหลือได้

 

Sponsored Ad

 

    และปัจจุบัน ผู้ที่ซื้อที่ดินต่อจากสำนักงานบังคับคดี ได้นำป้ายมาติดประกาศขายที่ดินต่อ จำนวน 16 ไร่ 89.9 ตารางวา และโทรมาเร่งรัดขอเงินงวดเเรกให้รีบจ่าย หากไม่มีเงินจ่ายก็ขอให้ย้ายออกนอกพื้นที่ทันที ส่วนชีวิตของตายายนั้น มีลูกทั้งหมด 10 คน นายธนา เป็นลูกคนสุดท้อง ที่สำคัญคือยังมีลูกๆและครอบครัวอื่นอีก 5 ครอบครัว รวม 18 ชีวิต ก็อาศัยอยู่ร่วมกันในที่ดินผืนนี้ด้วย 

    ก่อนหน้านี้ คุณยาย ทองคำ นุ่มวงษ์ วัย 84 ปี เล่าว่า ตนไม่รู้ว่าลูกชายหายไปไหน ก่อนไปเพียงว่าจะไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ เพื่อซื้อที่ดินคืนให้ครอบครัว ซึ่งผ่านไปกว่า 5 เดือนแล้ว ก็ติดต่อไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร

 

Sponsored Ad

 

    ซึ่งเจ้าตัวได้พยายามถามว่าใช้หนี้ กยศ.ที่กู้มาเรียนแล้วหรือยัง ก็ได้รับคำตอบว่า "แม่ไม่ต้องยุ่งหรอก พิการแบบนี้จะมีปัญญาเอาเงินไหนมาใช้หนี้เค้า" จนสุดท้ายรู้อีกทีก็จะโดนยึดที่ดินแล้ว ซึ่งตนเองและสามีมีอาการหูหนวก (ไม่ค่อยได้ยิน) แถมยังเดินไม่ไหวอีกด้วย พร้อมยืนยันว่าจะขออยู่ตรงนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ พร้อมยืนยันว่าถ้ารู้ก่อนหน้านี้ว่า กยศ. จะยึดที่ดิน ตนจะนำเงินคนพิการและเบี้ยคนชราที่ได้ไปผ่อนชำระเอง

    ในเวลาต่อมาลูกสาวคนที่ 7 ของตายาย นางคณิต ขุนพิลึก ได้เปิดใจว่า สงสารพ่อกับแม่มาก อายุก็เยอะแล้ว หากจะย้ายไปที่อื่นคงลำบาก ส่วนตัวเองหาเช้ากินค่ำ หากต้องย้ายออกไปด้วยจากการโดนไล่ที่ก็คงลำบากเช่นกัน อยากให้น้องชายกลับมาดูพ่อแม่บ้าง กลับมาช่วยกันแก้ไขปัญหา อย่าทิ้งกันไปง่ายๆแบบนี้ 

 

Sponsored Ad

 

    ต่อมาสำนักข่าวรายงาน นายสดุดี พุทธัง นายอำเภอคลองขลุง นายมงคล ศรีสงคราม ผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีจังหวัดกำแพงเพชร ปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคงอำเภอคลองขลุง พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้ความช่วยเหลือ 

    โดยได้สอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นพร้อมขอดูเอกสารต่างๆ โดยปรากฏว่าในส่วนของคดีได้สิ้นสุดแล้ว และปฏิบัติตามกฎหมายถูกต้อง ซึ่งนายเชิด และภรรยาได้ขอความช่วยเหลืออยู่ 3 เรื่อง ดังนี้

Sponsored Ad

    ขอให้นายอำเภอคลองขลุง และสำนักงานบังคับคดีจังหวัดกำแพงเพชรไกล่เกลี่ยขอซื้อที่ดินคืนจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินรายใหม่ในราคาถูกลง เนื่องจากไม่มีเงินมากพอที่จะไปซื้อตามจำนวนได้ และให้ช่วยหาแหล่งเงินทุนสำหรับกู้ยืมเพื่อนำเงินไปไถ่ถอนจำนองที่ดินที่ลูกชายคนเล็กนำโฉนดที่ดินไปจำนองไว้กับธ.ก.ส.

    พร้อมสุดท้ายอยากให้ช่วยติดตามตัว นายธนา นุ่มวงษ์ ลูกชายคนเล็กที่เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด มานำเงินส่วนต่างจากการขายทอดตลาดออกมาเพื่อจะนำไปรวบรวมซื้อบ้านและที่ดินคืนจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินรายใหม่

    ทั้งนี้ นายอำเภอคลองขลุงและผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีรับปากว่าจะเร่งดำเนินการประสานเพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ยกันต่อไป เพื่อจะได้ทำงานซื้อบ้านและที่ดินกลับคืนมาดังเดิม ซึ่งในส่วนของการเปิดรับบริจาคนั้น ตายายกล่าวว่ามีผู้ใจบุญบริจาคเงินมากันบ้าง ก็รู้สึกดีใจ และขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่กรุณาตนและครอบครัว

    หากได้เงินตามจำนวนที่จะสามารถซื้อบ้านและที่ดินคืนได้ก็จะขอหยุดรับบริจาคเงินทันที โดยระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้นสองตายายมีสีหน้าที่ดีขึ้น มีบางช่วงที่รู้สึกดีใจจนยายกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่หลั่งน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มออกมาเป็นระยะ ซึ่งตาบอกว่าตนรู้สึกโล่งใจที่มีคนเข้ามาช่วย แต่ก็แอบกังวลอยู่บ้างว่าบ้านเราจะโดนยึดรึเปล่า แต่ก็คลายความกังวลลงไปบ้าง

ที่มา : thairath

บทความที่คุณอาจสนใจ